พระคัมภีร์ในหนึ่งปี สิงหาคม ๑๐โยบ ๑๑:๑-๒๐๑. แล้วโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ตอบว่า๒. “ควรที่จะฟังมวลถ้อยคำโดยไม่มีใครตอบหรือ และคนที่พูดมากควรจะนับว่าชอบธรรมหรือ๓. ควรที่คำพูดอันไร้สาระของท่าน ทำให้คนนิ่ง และเมื่อท่านเยาะเย้ย ไม่ควรมีผู้ใดทำให้ท่านอายหรือ๔. เพราะท่านว่า ‘คำสอนของข้าบริสุทธิ์ และข้าก็สะอาดในสายพระเนตรพระเจ้า’๕. แต่ โอ ใคร่จะให้พระเจ้าตรัส และทรงเปิดริมพระโอษฐ์ของพระองค์ตรัสกับท่าน๖. ใคร่จะให้พระองค์ทรงสำแดงเคล็ดลับของสติปัญญาให้ท่าน เพราะความเข้าใจของพระองค์เอนกอนันต์ จงทราบเถิดว่าพระเจ้าทรงเรียกร้องจากท่าน น้อยกว่ากรรมชั่วของท่านพึงได้รับ๗. “ท่านจะหยั่งรู้สภาพของพระเจ้าได้หรือ ท่านหยั่งรู้องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้หมดหรือ๘. นั่นสูงกว่าฟ้าสวรรค์ ท่านจะทำอะไรได้ ลึกกว่าแดนคนตาย ท่านจะทราบอะไรได้๙. วัดดูก็ยาวกว่าโลก และกว้างกว่าทะเล๑๐. ถ้าพระองค์ทรงผ่านไป และทรงคุมขัง และทรงเรียกมาพิพากษา ใครจะขัดขวางพระองค์ได้๑๑. เพราะพระองค์ทรงทราบคนไร้ค่า เมื่อพระองค์ทรงเห็นความบาปผิด พระองค์จะไม่ทรงพิจารณาหรือ๑๒. แต่คนโง่จะได้ความเข้าใจ ก็ต่อเมื่อลูกลาป่าเกิดมาเป็นคน๑๓. “ถ้าท่านเตรียมใจของท่านไว้ และท่านเหยียดแขนของท่าน ออกไปหาพระองค์๑๔. ถ้าความบาปชั่วอยู่ในมือของท่าน ทิ้งเสียให้ไกล และอย่าให้ความอธรรมอาศัยอยู่ในเต็นท์ของท่าน๑๕. แล้วแน่ละ ท่านจะเงยหน้าขึ้นโดยปราศจากตำหนิ ท่านจะปลอดภัย และไม่ต้องกลัว๑๖. ท่านจะลืมความทุกข์ยากของท่าน ท่านจะจดจำได้เหมือนน้ำที่ได้ไหลผ่านพ้นไป๑๗. แล้วชีวิตของท่านจะสุกใสยิ่งกว่าเวลาเที่ยงวัน แม้จะมีความมืดก็จะเหมือนเวลาเช้า๑๘. และท่านจะรู้สึกปลอดภัย เพราะมีความหวัง เออ ท่านจะตรวจตราดู และนอนพักอย่างปลอดภัย๑๙. ท่านจะนอนลง และไม่มีใครทำให้ท่านกลัว เออ คนเป็นอันมากจะมาวอนขอความช่วยเหลือจากท่าน๒๐. แต่ตาของคนอธรรมจะมืดมัว หนทางที่รอดพ้นจะอันตรธานไปจากเขา และความหวังของเขาก็คือ ความตายนั่นเอง”โยบ ๑๒:๑-๒๕๑. แล้วโยบตอบว่า๒. “ไม่ต้องสงสัยเลย ที่ท่านทั้งหลายเป็นเสียงของประชาชน และสติปัญญาจะตายไปพร้อมกับท่าน๓. แต่ข้าก็มีความเข้าใจอย่างกับท่าน ข้าไม่ด้อยกว่าท่าน เออ เรื่องอย่างนี้ใครจะไม่ทราบ๔. ข้าเป็นที่ให้เพื่อนของข้าหัวเราะเยาะ ข้า ผู้ร้องทูลพระเจ้าและพระองค์ทรงตอบข้า คนชอบธรรมและคนดีรอบคอบเป็นที่ให้เขาหัวเราะเยาะ๕. ในความคิดของผู้ที่อยู่อย่างสบายมีความประมาทต่อการเคราะห์ร้าย ซึ่งมีพร้อมอยู่สำหรับบรรดาผู้ที่เท้าพลาด๖. เต็นท์ของโจรก็อยู่อย่างสงบสุข และบุคคลที่ยั่วเย้าพระเจ้าก็ปลอดภัย คือผู้ที่นำพระของเขาติดมือมา๗. “แต่ ขอถามสัตว์เดียรัจฉาน และมันจะสอนท่าน ถามนกในอากาศดู และมันจะบอกท่าน๘. หรือพูดกับแผ่นดินโลก และมันจะสอนท่าน และถามปลาทะเล มันจะประกาศแก่ท่าน๙. ในสิ่งเหล่านี้มีสิ่งใดที่ไม่ทราบว่า พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงกระทำให้เป็นไปอย่างนั้น๑๐. ชีวิตของสิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ทั้งลมหายใจของมนุษย์ทั้งปวง๑๑. หูไม่ได้ทดลองถ้อยคำ อย่างเพดานปากชิมรสอาหารหรือ๑๒. สติปัญญาอยู่กับคนมีอายุมาก และอายุยืนยาวทำให้เกิดความเข้าใจ๑๓. “สติปัญญาและฤทธานุภาพอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงมีคำแนะนำและความเข้าใจ๑๔. ถ้าพระองค์ทรงพังทลายลงก็ไม่มีผู้ใดสร้างใหม่ได้ ถ้าพระองค์ทรงกักขังมนุษย์คนหนึ่งไว้ ก็ไม่มีผู้ใดเปิดได้๑๕. ถ้าพระองค์ทรงยึดน้ำไว้ มันก็แห้งไป ถ้าพระองค์ทรงส่งมันออกไป มันก็ท่วมแผ่นดิน๑๖. พระกำลังและพระสติปัญญาอยู่กับพระองค์ ผู้ถูกลวงทั้งผู้ลวงเป็นของพระองค์๑๗. พระองค์ทรงนำที่ปรึกษาตัวล่อนจ้อนไป และพระองค์ทรงกระทำผู้พิพากษาให้เป็นคนโง่๑๘. พระองค์ทรงแก้พันธนาการของพระราชา และทรงผูกมัดเอวของกษัตริย์เหล่านั้น๑๙. พระองค์ทรงนำปุโรหิตตัวล่อนจ้อนไป และทรงคว่ำผู้มีกำลังเสีย๒๐. พระองค์ทรงเอาคำพูดไปเสียจากผู้ที่เขาวางใจ และทรงนำการพินิจพิจารณาไปเสียจากพวกผู้ใหญ่๒๑. พระองค์ทรงเทความเหยียดหยามบนเจ้านาย และขยายเข็มขัดของผู้ที่แข็งแรง๒๒. พระองค์ทรงเปิดสิ่งที่ลึกออกมาจากความมืด และทรงนำเงามัจจุราชมาสู่ความสว่าง๒๓. พระองค์ทรงกระทำประชาชาติให้ใหญ่โต และพระองค์ทรงทำลายเสีย พระองค์ทรงขยายบรรดาประชาชาติ และทรงนำเขาทั้งหลายไปเป็นเชลย๒๔. พระองค์ทรงนำความเข้าใจไปเสียจากหัวหน้าชาวโลก และทรงกระทำให้เขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งไม่มีหนทาง๒๕. เขาทั้งหลายคลำอยู่ในความมืด ปราศจากความสว่าง และพระองค์ทรงทำให้เขาโซเซอย่างคนเมาสดุดี ๙๔:๑-๑๑๑. ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าแห่งการแก้แค้น ข้าแต่พระเจ้าแห่งการแก้แค้นขอทรงทอแสงออกไป๒. ข้าแต่ผู้พิพากษาโลก ขอทรงลุกขึ้น ให้คนโอหังได้รับผลสนองอันสมกับเขา๓. ข้าแต่พระเจ้า คนอธรรมจะนานเท่าใด คนอธรรมจะลิงโลดอยู่นานเท่าใด๔. เขาพล่าม เขาพูดอย่างจองหอง คนกระทำชั่วทั้งปวง เขาโอ้อวด๕. ข้าแต่พระเจ้า เขาขยี้ประชากรของพระองค์ และทำมรดกของพระองค์ให้ทุกข์ยาก๖. เขาสังหารแม่ม่ายและคนต่างด้าว และกระทำฆาตกรรมลูกกำพร้า๗. และเขากล่าวว่า “พระเจ้าไม่แลเห็น พระเจ้าของยาโคบไม่หยั่งรู้”๘. คนเขลาที่สุดของประชาชนเอ๋ย จงเข้าใจเถิด คนโง่ทั้งหลาย เมื่อไรเจ้าจึงจะฉลาด๙. พระองค์ผู้ทรงปลูกหู พระองค์จะไม่ทรงได้ยินหรือ พระองค์ผู้ทรงปั้นตา พระองค์จะไม่ทรงเห็นหรือ๑๐. พระองค์ผู้ทรงตีสอนบรรดาประชาชาติ พระองค์จะไม่ทรงขนาบหรือ คือพระองค์ผู้ทรงสอนความรู้ให้มนุษย์๑๑. พระเจ้าทรงทราบความคิดของมนุษย์ ว่าเป็นแต่เพียงลมหายใจสุภาษิต ๒๒:๒๔-๒๕๒๔. อย่าเป็นมิตรกับคนที่มักโกรธ หรือไปกับคนขี้โมโห๒๕. เกรงว่าเจ้าจะเรียนรู้ทางของเขา และพัวพันตัวเจ้าเข้าในบ่วงโรม ๑๐:๑-๒๑๑. พี่น้องทั้งหลาย ความปรารถนาในจิตใจของข้าพเจ้า และคำวิงวอนขอต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอลนั้น คือขอด้วยหวังให้เขารอด๒. ข้าพเจ้าเป็นพยานให้เขาว่า เขามีความกระตือรือร้นที่จะปรนนิบัติพระเจ้า แต่หาได้เป็นตามปัญญาไม่๓. เพราะว่าเขาไม่รู้จักความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ แต่อุตส่าห์ตั้งความชอบธรรมของตนขึ้น เขาจึงไม่ได้ยอมอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า๔. เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติ เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม๕. โมเสสได้เขียนเรื่องความชอบธรรมซึ่งมีธรรมบัญญัติเป็นมูลฐานว่า คนใดที่ประพฤติตามจะได้ชีวิตโดยการประพฤตินั้น๖. แต่ความชอบธรรมที่มีความเชื่อเป็นมูลฐานว่าอย่างนี้ว่า “อย่านึกในใจของตัวว่า ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์” (คือจะเชิญพระคริสต์ลงมา)๗. “หรือ ใครจะลงไปยังที่ลึก” (คือจะเชิญพระคริสต์ขึ้นมาจากความตาย)๘. แต่ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร ก็ว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน” (คือคำซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อที่เราทั้งหลายประกาศอยู่นั้น)๙. คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด๑๐. ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด๑๑. เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย๑๒. เพราะว่าพวกยิวและพวกต่างชาตินั้น ไม่ทรงถือว่าต่างกัน ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงโปรดอย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งปวงที่ทูลขอต่อพระองค์๑๓. เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด๑๔. แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้ และผู้ที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้ และเมื่อไม่มีผู้ใดประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไรได้๑๕. และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปประกาศอย่างไรได้ ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆ หนอ๑๖. แต่มิใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย๑๗. ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์๑๘. ข้าพเจ้าถามว่า “เขาทั้งหลายไม่ได้ยินหรือ” เขาได้ยินแล้วจริงๆ เสียงของเขากระจายออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำของเขาประกาศออกไปถึงสุดปลายพิภพ๑๙. ข้าพเจ้าถามอีกว่า “พลอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ” ตอนแรกโมเสสกล่าวว่า เราจะให้เจ้าทั้งหลายอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ เราจะยั่วโทสะเจ้าด้วยชนชาติที่โง่เขลาชาติหนึ่ง๒๐. แล้วอิสยาห์กล้ากล่าวว่า คนเหล่านั้นที่มิได้แสวงหาเราได้พบเรา เราได้ปรากฏแก่คนที่มิได้ถามหาเรา๒๑. แต่ท่านได้กล่าวถึงพวกอิสราเอลว่า ตลอดทั้งวัน เรายื่นมือให้ชนชาติซึ่งไม่เชื่อฟังและดื้อรั้น Thai Bible (TH1971) เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971