พระคัมภีร์ในหนึ่งปี พฤษภาคม ๒๓๒ ซามูเอล ๑๗:๑-๒๙๑. อาหิโธเฟลพูดกับอับซาโลมว่า “ข้าพเจ้าจะ เลือกคนมาหนึ่งหมื่นสองพันคนและยกทัพไปไล่ตามดาวิดในคืนนี้เลย๒. ข้าพเจ้าจะได้โจมตีเขาในขณะที่เขายังเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย และทำให้เขาหวาดกลัว แล้วคนของเขาทั้งหมดก็จะวิ่งหนีไป ข้าพเจ้าจะทำร้ายเฉพาะกษัตริย์๓. และนำประชาชนทั้งหมดกลับมาให้ท่าน เมื่อชายคนที่ท่านหาตัวอยู่นี้ตายไป ประชาชนทุกคนก็จะกลับมาหาท่านเหมือนเจ้าสาวที่กลับมาคืนดีกับสามี”๔. อับซาโลมและผู้ใหญ่ของอิสราเอลทั้งหมดต่างเห็นดีด้วยกับแผนการนี้๕. แต่อับซาโลมพูดว่า “เรียกตัวหุชัยชาวอารคีมา เราจะได้ฟังความเห็นของเขาด้วย”๖. เมื่อหุชัยมาพบ อับซาโลมพูดว่า “อาหิโธเฟลให้คำแนะนำไว้อย่างนี้ เราควรทำตามที่เขาพูดหรือไม่ ถ้าไม่ บอกหน่อยสิว่า เจ้ามีความคิดเห็นว่ายังไง”๗. หุชัยตอบอับซาโลมว่า “ในครั้งนี้ คำแนะนำที่อาหิโธเฟลให้นั้นใช้ไม่ได้๘. ท่านก็รู้จักพ่อของท่านและคนของเขาดี พวกเขาเป็นนักสู้และดุร้ายพอๆกับแม่หมีในป่าที่ถูกขโมยลูกไป นอกจากนั้น พ่อของท่านมีประสบการณ์ในการสู้รบมามาก เขาจะไม่พักค้างคืนอยู่ในกองทหาร๙. ตอนนี้ เขาคงจะซ่อนตัวอยู่ในถ้ำสักแห่งหรือสถานที่อื่น แล้วถ้าเขาเกิดโจมตีกองทัพของท่านก่อนล่ะก็ ใครก็ตามที่ได้ยินเกี่ยวกับมันจะต้องพูดว่า ‘เกิดการฆ่าหมู่กองทหารที่ติดตามอับซาโลม’๑๐. เมื่อถึงตอนนั้น แม้แต่ทหารกล้าที่มีจิตใจแข็งแกร่งเหมือนสิงห์ ก็จะอ่อนปวกเปียกด้วยความกลัว เพราะอิสราเอลทั้งหมดต่างรู้ดีว่าพ่อของท่านเป็นนักรบและพวกคนที่อยู่กับเขาต่างก็เป็นคนกล้าหาญ๑๑. ดังนั้น ข้าพเจ้าขอแนะนำท่านให้รวบรวมอิสราเอลทั้งหมดเข้ามาหาท่าน ตั้งแต่ดานไปจนถึงเบเออร์เชบา ซึ่งมีจำนวนมากเหมือนเม็ดทรายบนชายหาด และให้ท่านไปกับพวกเขา๑๒. แล้วพวกเราจะเข้าจู่โจมเขาที่ใดก็ตามที่พบตัวเขา และพวกเราจะอยู่ไปทั่วเหมือนน้ำค้างที่ตกไปทั่วพื้นดิน ไม่ว่าตัวเขาหรือทหารของเขาก็จะไม่เหลือรอดสักคนเดียว๑๓. ถ้าดาวิดหนีเข้าไปในเมือง ชาวอิสราเอลทั้งหมดก็จะเอาเชือกลากกำแพงเมืองนั้นลงในหุบเขาไม่เหลือแม้กระทั่งหินชิ้นเล็กๆให้เห็น”๑๔. อับซาโลมและผู้ใหญ่อิสราเอลทั้งหมดพูดว่า “คำแนะนำของหุชัยชาวอารคีดีกว่าของอาหิโธเฟล” ที่เป็นอย่างนี้เพราะพระยาห์เวห์จงใจทำให้คำแนะนำดีๆของอาหิโธเฟลพ่ายแพ้ไป เพื่อพระองค์จะได้นำความหายนะมาสู่อับซาโลม๑๕. หุชัยบอกศาโดกและอาบียาธาร์นักบวชทั้งสองว่า “อาหิโธเฟลได้แนะนำอับซาโลมและผู้ใหญ่ของอิสราเอลให้ทำอย่างหนึ่ง แต่เราได้แนะนำพวกเขาให้ทำอีกอย่างหนึ่ง๑๖. ตอนนี้ให้ส่งข่าวไปบอกกับดาวิดทันทีว่า ‘คืนนี้อย่าหยุดอยู่ที่ท่าข้ามแม่น้ำในทะเลทราย แต่ให้รีบข้ามแม่น้ำไปให้หมด ไม่อย่างนั้น ทั้งตัวกษัตริย์เองและประชาชนทั้งหมดที่อยู่กับเขาจะถูกกลืน’”๑๗. ขณะนั้นโยนาธานและอาหิมาอัสกำลังคอยอยู่ที่เอนโรเกล แล้วจะมีหญิงรับใช้คนหนึ่งจะไปส่งข่าวให้กับพวกเขา แล้วพวกเขาก็จะไปส่งข่าวต่อให้กับกษัตริย์ดาวิด เพราะพวกเขาไม่อยากเสี่ยงที่จะถูกพบเห็นในขณะเข้าเมือง๑๘. แต่ชายหนุ่มคนหนึ่งเห็นพวกเขาและไปบอกอับซาโลม ดังนั้นทั้งสองคนจึงรีบจากไป และไปยังบ้านของชายคนหนึ่งที่บาฮูริม เขามีบ่อเก็บน้ำที่ลานบ้าน พวกเขาจึงปีนลงไปในบ่อเก็บน้ำนั้น๑๙. เมียของชายคนนั้น เอาของมาปิดปากบ่อไว้และเอาเมล็ดข้าวมาตากไว้ข้างบน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้๒๐. เมื่อคนของอับซาโลมมาถึงบ้านของหญิงคนนั้น พวกเขาถามว่า “อาหิมาอัสกับโยนาธานอยู่ที่ไหน” หญิงคนนั้นตอบพวกเขาว่า “พวกเขาข้ามลำธารไปแล้ว” ชายพวกนั้นค้นบ้านหลังนั้นแต่ไม่พบใคร พวกเขาจึงกลับเมืองเยรูซาเล็ม๒๑. หลังจากชายพวกนั้นไปแล้ว ทั้งสองคนจึงปีนออกมาจากบ่อน้ำและไปบอกข่าวกับกษัตริย์ดาวิด พวกเขาพูดกับดาวิดว่า “รีบออกเดินทางและข้ามแม่น้ำไปทันที อาหิโธเฟลแนะนำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อสู้รบกับท่าน”๒๒. ดังนั้นดาวิดและประชาชนทั้งหมดที่อยู่กับเขาจึงออกเดินทางและข้ามแม่น้ำจอร์แดน พอรุ่งเช้า ทุกคนก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปจนหมด๒๓. เมื่ออาหิโธเฟลเห็นว่าไม่มีใครทำตามคำแนะนำของเขา เขาผูกอานลาของเขาและกลับไปที่บ้านเกิดเมืองนอนของเขา เขาได้สั่งเสียจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปผูกคอตาย เขาตายและถูกฝังอยู่ในหลุมฝังศพ ของพ่อเขา๒๔. ดาวิดได้ไปถึงเมืองมาหะนาอิม และอับซาโลมได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนพร้อมกับคนอิสราเอลทั้งหมด๒๕. อับซาโลมแต่งตั้งอามาสาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ อามาสาเป็นลูกชายของเยเธอร์ชาวอิชมาเอล อามาสาได้แต่งงานกับอาบีกัล ลูกสาวของนางนาหาช นางนาหาชเป็นน้องสาวนางเศรุยาห์แม่ของโยอาบ๒๖. ชาวอิสราเอลเหล่านั้นกับอับซาโลมตั้งค่ายอยู่ในดินแดนกิเลอาด๒๗. เมื่อดาวิดมาถึงเมืองมาหะนาอิม โชบี มาคีร์และบารซิลลัยอยู่ที่นั่น โชบีเป็นลูกชายนาหาช เขาเป็นชาวอัมโมนมาจากเมืองรับบาห์ มาคีร์เป็นลูกชายอัมมีเอล เขามาจากเมืองโลเดบาร์ บารซิลลัย เป็นชาวกิเลอาดมาจากเมืองโรเกลิม๒๘. ชายทั้งสามคนนี้พูดกันว่า “ประชาชนพวกนี้ หิว เหนื่อยและกระหายจากทะเลทราย” ดังนั้น พวกเขาจึงขนเอาที่นอน อ่างน้ำและหม้อชามรามไหมา พวกเขายังเอาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ แป้ง เมล็ดข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วแขก น้ำเชื่อมผลไม้ เนย แกะ และเนยแข็งจากนมวัว มาให้ดาวิดและประชาชนของเขากินกัน๒๙. ดาวิดรวบรวมกำลังพลที่อยู่กับเขาและแต่งตั้งนายพันและนายร้อยขึ้น๒ ซามูเอล ๑๘:๑-๓๓๑. ดาวิดส่งกองทัพออกไปหนึ่งในสามภายใต้การนำของโยอาบ อีกหนึ่งในสามให้อยู่ภายใต้การนำของอาบีชัยน้องชายโยอาบลูกชายนางเศรุยาห์ และอีกหนึ่งในสามที่เหลือให้อยู่ภายใต้การนำของอิททัยชาวกัท กษัตริย์ดาวิดบอกกองทัพเหล่านั้นว่า “เราจะออกไปรบกับพวกท่านด้วย”๒. แต่คนเหล่านั้นพูดว่า “ท่านต้องไม่ออกไป ถ้าพวกข้าพเจ้าจะต้องหลบหนี พวกเขาจะไม่สนใจพวกข้าพเจ้า ถึงพวกข้าพเจ้าครึ่งหนึ่งตายไป พวกเขาก็จะไม่สนใจ แต่ท่านมีค่ามากกว่าพวกข้าพเจ้าหมื่นคน ท่านควรอยู่คอยให้การสนับสนุนอยู่ในเมืองจะดีกว่า”๓. กษัตริย์ตอบว่า “พวกท่านว่ายังไง เราก็จะทำตามนั้น” ดังนั้น กษัตริย์จึงยืนอยู่ข้างประตูเมือง ขณะที่คนทั้งหมดเดินทัพออกไปเป็นหน่วยกองร้อยและกองพัน๔. กษัตริย์สั่งโยอาบ อาบีชัยและอิททัยว่า “ให้เบาๆมือกับอับซาโลมหนุ่มคนนั้นด้วยเพื่อเห็นแก่เรา” และกองทัพทั้งหมดก็ได้ยินสิ่งที่กษัตริย์สั่งกับผู้บังคับบัญชาแต่ละคนเกี่ยวกับอับซาโลม๕. กองทัพเคลื่อนออกไปเพื่อสู้รบกับอิสราเอล และการสู้รบก็เริ่มขึ้นในป่าเอฟราอิม๖. ที่นั่น กองทัพอิสราเอลก็พ่ายแพ้ต่อกองทัพของดาวิด และมีผู้คนล้มตายในวันนั้นถึงสองหมื่นคน๗. การสู้รบกระจายไปถึงชานเมืองโดยรอบ และป่าได้กินคนไปมากกว่าดาบเสียอีก๘. ขณะนั้นอับซาโลมได้เจอคนของดาวิดเข้า เขากำลังขี่ล่ออยู่และเมื่อล่อวิ่งลอดใต้กิ่งไม้ที่หนาทึบของต้นโอ๊ค หัวของอับซาโลมก็ไปเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้นั้น เขาห้อยติดอยู่กลางอากาศ ในขณะที่ล่อยังคงวิ่งต่อไป๙. เมื่อคนหนึ่งมาเห็น จึงไปบอกโยอาบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมห้อยอยู่บนต้นโอ๊ค”๑๐. โยอาบพูดกับคนที่มาบอกเรื่องนี้กับเขาว่า “อะไรนะ เจ้าเห็นเขาหรือ ทำไมเจ้าถึงไม่ฆ่าเขาให้ตกลงมาบนพื้นเลยล่ะ เสียดายที่เจ้าไม่ได้ทำอย่างนั้น ไม่งั้นเราคงจะได้ให้เงินเจ้าสิบเชเขล และเข็มขัดนักรบด้วย”๑๑. แต่ชายคนนั้นตอบว่า “ถึงแม้จะให้ข้าพเจ้าถึงหนึ่งพันเชเขล ข้าพเจ้าก็จะไม่ยกมือขึ้นต่อสู้กับลูกชายของกษัตริย์ ข้าพเจ้าได้ยินกษัตริย์สั่งท่าน อาบีชัยและอิททัยว่า ‘ให้ปกป้องอับซาโลมชายหนุ่มคนนั้นด้วยเพื่อเห็นแก่เรา’๑๒. ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเสี่ยงชีวิตไปฆ่าเขา ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มีอะไรปิดซ่อนไปจากกษัตริย์ได้หรอก ถึงตอนนั้นตัวท่านเองก็คงจะถอยห่างไปจากข้าพเจ้า”๑๓. โยอาบพูดว่า “เราไม่น่าเสียเวลากับเจ้าอย่างนี้เลย” เขาจึงหยิบทวนไปสามเล่มและแทงไปที่หัวใจของอับซาโลมในขณะที่อับซาโลมยังมีชีวิตอยู่บนต้นโอ๊ค๑๔. และคนสิบคนที่ถืออาวุธให้โยอาบก็เข้าล้อมอับซาโลมและฆ่าเขาจนตาย๑๕. แล้วโยอาบได้เป่าแตรขึ้น และกองทัพต่างๆก็หยุดการติดตามอิสราเอลเพราะโยอาบหยุดพวกเขาไว้๑๖. พวกเขาเอาตัวอับซาโลมโยนลงในหลุมขนาดใหญ่ในป่าและปิดทับไว้ด้วยก้อนหินกองสูงใหญ่ ในขณะนั้น ชาวอิสราเอลทั้งหมดได้หลบหนีกลับบ้านของพวกเขา๑๗. ในระหว่างที่อับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ เขาได้ตั้งเสาหินขึ้นต้นหนึ่งในหุบเขาของกษัตริย์เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ของเขาเองเพราะเขาคิดว่า “เราไม่มีลูกชายที่จะสืบทอดชื่อของเราต่อไป” เขาตั้งชื่อเสานั้นตามตัวเขาและมันถูกเรียกว่าอนุสาวรีย์ของอับซาโลมมาจนถึงทุกวันนี้๑๘. ขณะนั้นอาหิมาอัสลูกชายศาโดกพูดว่า “ขอให้ผมวิ่งนำข่าวไปบอกกษัตริย์ว่าพระยาห์เวห์ได้ช่วยท่านให้พ้นจากมือของพวกศัตรูแล้ว”๑๙. โยอาบบอกเขาว่า “เจ้าอย่าได้ไปส่งข่าวในวันนี้เลยให้ไปส่งข่าววันอื่นเถิด อย่าให้เป็นวันนี้เลยเพราะลูกชายของกษัตริย์ได้ตายไปแล้ว”๒๐. โยอาบจึงบอกชาวคูชคนหนึ่งว่า “ให้ไปบอกกษัตริย์ในสิ่งที่เจ้าได้เห็น” ชาวคูชคนนั้นคำนับลงต่อหน้าโยอาบและวิ่งออกไป๒๑. อาหิมาอัสลูกชายศาโดกพูดกับโยอาบอีกครั้งว่า “ไม่ว่ายังไงก็ช่าง ปล่อยให้ผมวิ่งตามหลังชาวคูชคนนั้นไปด้วยเถิด” แต่โยอาบตอบว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจะวิ่งไปทำไมกัน ข่าวนี้จะไม่ทำให้เจ้าได้รับรางวัลหรอก”๒๒. คนนั้นพูดอีกว่า “ไม่ว่ายังไงก็ช่าง ผมก็จะขอวิ่งไป” โยอาบจึงพูดกับเขาว่า “อยากวิ่ง ก็วิ่งไปสิ” อาหิมาอัสจึงวิ่งไปทางที่ราบ และแซงหน้าชาวคูชคนนั้นไป๒๓. ขณะที่ดาวิดกำลังนั่งอยู่ระหว่างประตูเมืองสองชั้นคือชั้นนอกกับชั้นใน คนเฝ้ายามขึ้นไปบนดาดฟ้ากำแพงที่อยู่เหนือประตู ขณะที่เขามองออกไป เขาเห็นชายคนหนึ่งกำลังวิ่งมา๒๔. คนเฝ้ายามก็ร้องบอกกษัตริย์ กษัตริย์พูดว่า “ถ้าเขามาคนเดียว เขาต้องมีข่าวดี” และชายคนนั้นก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ๒๕. แล้วคนเฝ้ายามก็เห็นชายอีกคนกำลังวิ่งมา เขาร้องบอกคนเฝ้าประตูว่า “ดูสิ มีชายอีกคนกำลังวิ่งมา” กษัตริย์พูดว่า “เขาต้องนำข่าวดีมาบอกอีกเหมือนกัน”๒๖. คนเฝ้ายามพูดว่า “ดูเหมือนว่าคนที่วิ่งมาคนแรกจะเหมือนอาหิมาอัสลูกชายศาโดก” กษัตริย์พูดว่า “เขาเป็นคนดี เขาจะมาพร้อมกับข่าวดี”๒๗. แล้วอาหิมาอัสก็ร้องบอกกษัตริย์ว่า “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี” เขาก้มกราบลงถึงพื้นต่อหน้ากษัตริย์และพูดว่า “สรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเถิด พระองค์ได้เอาชนะคนที่ยกมือขึ้นต่อต้านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า”๒๘. กษัตริย์ถามว่า “อับซาโลมหนุ่มคนนั้นปลอดภัยหรือไม่” อาหิมาอัสตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นความสับสนอลหม่านอย่างมาก ตอนที่โยอาบจะส่งคนรับใช้กษัตริย์และข้าพเจ้ามา แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร”๒๙. กษัตริย์พูดกับเขาว่า “มายืนข้างๆและคอยอยู่ที่นี่” เขาจึงก้าวไปที่ด้านข้างและยืนอยู่ที่นั่น๓๐. แล้วชาวคูชผู้นั้นก็มาถึงและพูดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า ขอฟังข่าวดี พระยาห์เวห์ได้ช่วยท่านแล้วในวันนี้จากคนที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านท่าน”๓๑. กษัตริย์ถามชาวคูชคนนั้นว่า “อับซาโลมชายหนุ่มผู้นั้นปลอดภัยหรือไม่” ชาวคูชตอบว่า “ขอให้ศัตรูของกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าและทุกคนที่ลุกฮือขึ้นจะทำอันตรายท่าน ต้องเป็นเหมือนชายคนนั้น”๓๒. กษัตริย์ตัวสั่นเทิ้มไปหมด เขาขึ้นไปบนห้องที่อยู่เหนือประตูและร้องไห้ ขณะที่กษัตริย์เดินไป เขาพูดว่า “อับซาโลม ลูกพ่อ อับซาโลมลูกพ่อ พ่ออยากตายแทนลูกเหลือเกิน อับซาโลม ลูกพ่อ ลูกของพ่อ”๓๓. ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงพระเจ้า เข้ามาสิ แล้วข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังว่าพระองค์ทำอะไรให้กับข้าพเจ้าบ้างสดุดี ๖๖:๑๖-๒๐๑๖. ปากของข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ลิ้นของข้าพเจ้ายกย่องพระองค์๑๗. ถ้าข้าพเจ้าเพิกเฉยต่อบาปในจิตใจของข้าพเจ้า องค์เจ้าชีวิตก็คงไม่ได้ฟังข้าพเจ้าหรอก๑๘. แต่ ความจริงแล้ว พระเจ้าได้ยินข้าพเจ้า พระองค์ฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า๑๙. สรรเสริญพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่ได้เมินเฉยต่อคำอธิษฐานของข้าพเจ้า และไม่ได้ยับยั้งความรักมั่นคงของพระองค์ไปจากข้าพเจ้า๒๐. ผมหงอกบนหัวเป็นมงกุฎแห่งศักดิ์ศรี ซึ่งคนนั้นได้มาตอนเดินอยู่ในหนทางที่พระเจ้าชอบใจสุภาษิต ๑๖:๓๑-๓๒๓๑. ความอดทนดีกว่าพละกำลัง ควบคุมตัวเองได้ ดีกว่ายึดเมืองได้๓๒. ขณะที่พระเยซูสอนอยู่ในบริเวณวิหาร พระองค์ตะโกนให้ทุกคนได้ยินว่า “ใช่แล้ว พวกคุณรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน แต่เราไม่ได้มาเอง มีผู้หนึ่งที่ส่งเรามาจริงๆ พวกคุณไม่รู้จักพระองค์ผู้นั้นยอห์น ๗:๒๘-๕๓๒๘. แต่เรารู้จักพระองค์เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ส่งเรามา”๒๙. พวกเขาจึงพยายามที่จะจับพระเยซู แต่ไม่มีใครจับตัวพระองค์ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์๓๐. แต่ก็มีคนเป็นจำนวนมากในฝูงชนนั้นที่เชื่อพระองค์และพูดว่า “เมื่อพระคริสต์มา พระองค์จะทำสิ่งอัศจรรย์มากกว่าที่ชายคนนี้ทำหรือ”๓๑. เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่ามีคนเป็นจำนวนมากแอบซุบซิบกันเรื่องพระเยซูอยู่ หัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีส่งเจ้าหน้าที่ของวิหารไปจับตัวพระเยซู๓๒. พระเยซูพูดว่า “เราจะอยู่กับพวกคุณอีกสักพักหนึ่ง แล้วก็จะกลับไปหาพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา๓๓. พวกคุณจะตามหาเรา แต่จะหาไม่เจอ เพราะพวกคุณไม่สามารถไปในที่ที่เรากำลังจะไป”๓๔. พวกผู้นำชาวยิวถามกันว่า “เขาจะไปไหนหรือ ที่พวกเราจะหาเขาไม่เจอ เขาจะไปหาคนของพวกเราที่เมืองกรีกและสอนพวกคนกรีกที่นั่นหรือ๓๕. แล้วเขาหมายถึงอะไรนะ ตอนที่เขาพูดว่า ‘คุณจะตามหาเราแต่จะหาไม่เจอ’ และ ‘พวกคุณไม่สามารถไปในที่ที่เรากำลังจะไป’”๓๖. ในวันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิง ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุด พระเยซูยืนขึ้นและพูดเสียงดังว่า “ถ้าใครหิวน้ำ ก็ให้มาหาเราและดื่มสิ๓๗. คนที่ไว้วางใจเราก็จะมีลำธารของน้ำที่ให้ชีวิตไหลออกมาจากหัวใจของเขา เหมือนกับที่พระคัมภีร์บอก”๓๘. พระเยซูกำลังพูดถึงพระวิญญาณ ซึ่งภายหลังคนที่ไว้วางใจพระองค์จะได้รับ แต่ที่ยังไม่มีใครได้รับตอนนี้ เพราะพระเยซูยังไม่ตายและยังไม่ได้ฟื้นขึ้นมารับเกียรติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์๓๙. เมื่อประชาชนได้ยินสิ่งที่พระเยซูพูด ก็มีบางคนพูดว่า “ชายคนนี้เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นที่คนรอคอยแน่ๆ”๔๐. คนอื่นๆพูดว่า “เขาเป็นพระคริสต์” แต่บางคนแย้งว่า “พระคริสต์จะมาจากแคว้นกาลิลีได้ยังไง๔๑. พระคัมภีร์บอกว่า พระคริสต์จะมาจากครอบครัวของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม เมืองที่ดาวิดเคยอยู่ไม่ใช่หรือ”๔๒. จึงเกิดการแตกแยกกันขึ้นในหมู่ประชาชนเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องของพระเยซู๔๓. บางคนอยากจะจับกุมพระองค์ แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำ๔๔. ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของวิหารกลับไปหาพวกผู้นำนักบวช และพวกฟาริสีที่ถามว่า “ทำไมพวกเจ้าไม่จับมันมาที่นี่”๔๕. พวกเจ้าหน้าที่ตอบไปว่า “พวกเรายังไม่เคยได้ยินใครพูดเหมือนชายคนนี้มาก่อนเลย”๔๖. พวกฟาริสีถามอีกว่า “พวกแกก็ถูกมันหลอกด้วยหรือ๔๗. ดูซิ มีใครบ้างในกลุ่มผู้นำหรือพวกฟาริสีที่ไปหลงเชื่อมัน๔๘. ส่วนไอ้พวกนอกคอกที่ไม่รู้กฎปฏิบัติพวกนั้น ยังไงก็ถูกพระเจ้าสาปแช่งอยู่แล้ว”๔๙. นิโคเดมัส คนที่ไปหาพระเยซูก่อนหน้านี้ และเป็นผู้นำชาวยิวคนหนึ่งถามพวกเขาว่า๕๐. “ตามกฎปฏิบัติของพวกเราจะไม่ตัดสินใครจนกว่าจะฟังเขาพูดและรู้ว่าเขาทำอะไร ไม่ใช่หรือ”๕๑. แต่พวกเขาบอกนิโคเดมัสว่า “คุณก็มาจากกาลิลีกับเขาด้วยหรือ ลองไปค้นพระคัมภีร์ ดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าไม่มีผู้พูดแทนพระเจ้าที่มาจากกาลิลีเลย”๕๒. แล้วพวกเขาทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับบ้าน Thai Bible (ERV) 2001 Copyright © 2001 by Bible League International