พระคัมภีร์ในหนึ่งปี พฤษภาคม ๒๔๒ ซามูเอล ๑๙:๑-๔๓๑. มีคนบอกโยอาบว่า “กษัตริย์กำลังร้องไห้และคร่ำครวญถึงอับซาโลม”๒. ดังนั้น ในวันนั้นแทนที่กองทัพจะเฉลิมฉลองชัยชนะ กลับกลายเป็นวันเศร้าโศก เพราะในวันนั้นทั้งกองทัพได้ยินว่า “กษัตริย์เสียใจเรื่องลูกชายของเขา”๓. คนเหล่านั้นเดินเข้าเมืองอย่างเงียบๆเหมือนคนที่แอบเข้าเมืองด้วยความละอายเมื่อหลบหนีจากสนามรบ๔. กษัตริย์ปิดหน้าของเขาและร้องไห้ออกมาดังๆว่า “อับซาโลม ลูกพ่อ อับซาโลม ลูกพ่อ ลูกของพ่อ”๕. โยอาบจึงเข้าไปในวังของกษัตริย์และพูดว่า “วันนี้ ท่านได้ทำให้คนของท่านทั้งหมดอับอาย พวกเขาคือคนที่ได้ช่วยชีวิตท่าน และลูกชายกับลูกสาวอีกหลายๆคนของท่านไว้ รวมทั้งชีวิตของพวกเมียท่านและเมียน้อย ทั้งหลายของท่านด้วย๖. ท่านรักคนเหล่านั้นที่เกลียดท่านและเกลียดคนที่รักท่าน ในวันนี้ท่านทำให้เห็นชัดเจนว่า ผู้นำทัพทั้งหลายของท่านและคนของเขาไม่มีความหมายกับท่านเลย ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า ท่านคงจะพอใจถ้าอับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้และพวกข้าพเจ้าตายหมด๗. ตอนนี้ ขอท่านออกไปและไปให้กำลังใจกับคนของท่าน ข้าพเจ้าสาบานต่อพระยาห์เวห์ว่า ถ้าท่านไม่ออกไป จะไม่มีใครเหลืออยู่กับท่านอีกภายในคืนนี้ และมันจะเลวร้ายยิ่งกว่าความหายนะใดๆก็ตามที่ท่านเคยพบมาตั้งแต่เด็กจนถึงขณะนี้”๘. ดังนั้นกษัตริย์จึงลุกขึ้นและไปนั่งที่ประตูเมือง เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินว่า “กษัตริย์นั่งอยู่บนประตูเมือง แล้ว” พวกเขาก็ออกมาอยู่ต่อหน้าเขา๙. ขณะนั้นชาวอิสราเอลต่างหลบหนีกลับบ้านของพวกเขา ประชาชนอิสราเอลทั่วทุกเผ่าต่างถกเถียงกันว่า “กษัตริย์ได้ช่วยเหลือพวกเราให้พ้นจากมือของพวกศัตรู เขาคือผู้ที่ช่วยพวกเราให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตีย แต่ตอนนี้เขาได้หลบหนีจากประเทศไปเพราะอับซาโลม๑๐. และอับซาโลมที่พวกเราได้แต่งตั้งให้ปกครองพวกเราได้ตายแล้วในสนามรบ แล้วทำไมพวกเราไม่พูดถึงการเชิญกษัตริย์กลับมาเล่า”๑๑. กษัตริย์ดาวิดส่งข้อความไปให้ศาโดกและอาบียาธาร์นักบวชทั้งสองว่า “ให้ไปถามพวกผู้ใหญ่ชาวยูดาห์ว่า ‘ทำไมท่านถึงเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญกษัตริย์กลับวังของเขา ในเมื่อทั่วทั้งอิสราเอลก็ได้พูดกันถึงเรื่องนี้ และมันก็มาถึงหูของเราผู้เป็นกษัตริย์แล้ว๑๒. พวกท่านเป็นพี่น้องของเรา เป็นเลือดเนื้อของเรา แล้วทำไมท่านจึงเป็นพวกสุดท้ายที่จะนำเราผู้เป็นกษัตริย์กลับมายังวังของเรา’๑๓. และให้บอกอามาสาด้วยว่า ‘ท่านไม่ใช่เลือดเนื้อของเราหรือ ขอให้พระเจ้าลงโทษเราอย่างรุนแรงที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าจากนี้ไปท่านไม่ได้เป็นแม่ทัพของกองทัพเราแทนโยอาบ’”๑๔. ดาวิดชนะใจชาวยูดาห์ทั้งหมดราวกับว่าพวกเขาเป็นคนๆเดียว พวกเขาส่งข้อความถึงกษัตริย์ว่า “กลับมาเถิด ทั้งตัวท่านและคนของท่านทั้งหมดด้วย”๑๕. แล้วกษัตริย์ก็ได้กลับมาและไปถึงแม่น้ำจอร์แดน ขณะนั้นคนยูดาห์ได้มาที่กิลกาลเพื่อออกไปรับเสด็จกษัตริย์และนำเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา๑๖. ชิเมอีลูกชายเกราชาวเบนยามินที่มาจากเมืองบาฮูริม รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด๑๗. เขามาพร้อมกับชาวเผ่าเบนยามินหนึ่งพันคน และกับศิบาคนรับใช้ครอบครัวซาอูล ศิบามาพร้อมกับลูกชายสิบห้าคนและคนรับใช้ยี่สิบคนของเขา พวกเขารีบไปที่แม่น้ำจอร์แดนที่กษัตริย์อยู่๑๘. พวกเขาข้ามที่ทางข้ามเพื่อไปรับครอบครัวกษัตริย์ข้ามมา และเพื่อทำตามสิ่งที่กษัตริย์ต้องการ เมื่อชิเมอีลูกชายเกราข้ามจอร์แดนไป เขาหมอบคำนับอยู่ต่อหน้ากษัตริย์๑๙. และพูดกับกษัตริย์ว่า “ขอให้เจ้านายข้าพเจ้าอย่าเอาผิดกับข้าพเจ้าเลย อย่าได้จดจำสิ่งที่ผิดๆที่คนรับใช้ของท่านได้ทำไป ในวันที่ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าออกจากเยรูซาเล็ม ขอให้กษัตริย์เอามันออกไปจากความคิดด้วยเถิด๒๐. เพราะข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าได้ทำบาปไป แต่วันนี้ข้าพเจ้ามาที่นี่เป็นคนแรกในบรรดาครอบครัวโยเซฟ ทั้งหมดเพื่อลงมาพบกับท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า”๒๑. แล้วอาบีชัยลูกชายนางเศรุยาห์ก็พูดว่า “ชิเมอีสมควรตายเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ เขาได้สาปแช่งผู้ที่พระยาห์เวห์ได้เจิมให้เป็นกษัตริย์”๒๒. ดาวิดตอบว่า “พวกลูกชายนางเศรุยาห์ พวกเจ้ามายุ่งเรื่องของเราทำไม วันนี้เจ้าทำตัวเหมือนศัตรูของเรา วันนี้จะไม่มีใครต้องตายในอิสราเอล คิดว่าเราไม่รู้หรือว่าวันนี้เราได้เป็นกษัตริย์ปกครองเหนืออิสราเอลแล้ว”๒๓. ดังนั้นกษัตริย์พูดกับชิเมอีว่า “เจ้าจะไม่ต้องตาย” แล้วกษัตริย์ก็สาบานกับเขา๒๔. เมฟีโบเชทหลาน ซาอูลลงไปรับเสด็จกษัตริย์ด้วยเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูแลเท้าของเขาหรือแต่งหนวดเคราหรือซักเสื้อผ้าเขาเลยตั้งแต่วันที่กษัตริย์จากไปจนกระทั่งวันที่เขากลับมาอย่างปลอดภัย๒๕. เมื่อเขามาจากเยรูซาเล็มเพื่อมารับเสด็จกษัตริย์ กษัตริย์ถามเขาว่า “เมฟีโบเชท ทำไมเจ้าถึงไม่ไปกับเรา”๒๖. เขาพูดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านเป็นง่อย ข้าพเจ้าก็เลยพูดว่า ‘ใส่อานให้กับลาของเราหน่อย เราจะได้ขี่ตามกษัตริย์ไป’ แต่ศิบาคนรับใช้ข้าพเจ้า ทรยศข้าพเจ้า๒๗. และเขาก็ใส่ร้ายข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า กษัตริย์ของข้าพเจ้าเป็นเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า ดังนั้นขอท่านทำในสิ่งที่ท่านเห็นควรเถิด๒๘. อันที่จริง ลูกหลานทุกคนของปู่ ข้าพเจ้าไม่สมควรได้รับสิ่งใดเลยนอกจากความตายจากท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า แต่ท่านได้ให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านนั่งร่วมกับคนเหล่านั้นที่นั่งร่วมโต๊ะกับท่าน ดังนั้น ข้าพเจ้ายังมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากกษัตริย์อีกเล่า”๒๙. กษัตริย์พูดกับเขาว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เราขอสั่งให้เจ้าและศิบาแบ่งที่นากัน”๓๐. เมฟีโบเชทพูดกับกษัตริย์ว่า “ให้เขาไปทุกอย่างเถิด เพราะตอนนี้ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว”๓๑. บารซิลลัยชาวกิเลอาดลงมาจากโรเกลิมด้วย เพื่อที่จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์และเพื่อส่งเขาให้เดินทางไปจากที่นั่น๓๒. ขณะนั้น บารซิลลัยแก่มากแล้ว มีอายุแปดสิบปี เขาเป็นผู้นำเสบียงอาหารมาให้กับกษัตริย์ระหว่างที่พักอยู่ที่เมืองมาหะนาอิม เพราะเขาร่ำรวยมาก๓๓. กษัตริย์ดาวิดพูดกับบารซิลลัยว่า “ข้ามไปกับเราและอยู่กับเราในเยรูซาเล็มเถิด แล้วเราจะคอยดูแลท่าน”๓๔. แต่บารซิลลัยตอบกษัตริย์ดาวิดว่า “ข้าพเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกสักกี่ปีกัน ที่ข้าพเจ้าจะไปอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มกับกษัตริย์๓๕. ตอนนี้ข้าพเจ้าก็มีอายุตั้งแปดสิบปีแล้ว ข้าพเจ้าแก่เกินกว่าที่จะสนุกสนานกับอะไรต่ออะไรแล้ว ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านยังสามารถลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มได้อีกหรือ ข้าพเจ้ายังจะฟังเสียงของนักร้องชายและหญิงได้อีกหรือ ทำไมจะต้องให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านเป็นภาระเพิ่มให้กับกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าด้วยเล่า๓๖. ผู้รับใช้ท่านจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์ไปแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ทำไมกษัตริย์ต้องตอบแทนข้าพเจ้าด้วยรางวัลขนาดนี้๓๗. ปล่อยผู้รับใช้ท่านกลับไปเถิด ข้าพเจ้าจะได้ตายอยู่ในเมืองของข้าพเจ้าเองใกล้หลุมฝังศพพ่อและแม่ข้าพเจ้า แต่คนผู้นี้คือคิมฮามผู้รับใช้ท่าน ให้เขาข้ามไปกับกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าเถิด ทำกับเขาตามที่ท่านเห็นสมควรเถิด”๓๘. กษัตริย์พูดว่า “คิมฮามจะข้ามไปกับเรา เราจะดีกับเขาอย่างที่ท่านขอไว้ ท่านขออะไร เราก็จะทำให้”๓๙. กษัตริย์จูบบารซิลลัยและให้พรกับเขา และบารซิลลัยก็กลับบ้านเขา หลังจากนั้น กษัตริย์และประชาชนทั้งหมดก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป๔๐. เมื่อกษัตริย์ข้ามแม่น้ำและเดินทางไปถึงกิลกาล กองทัพทั้งหมดของยูดาห์และครึ่งหนึ่งของกองทัพอิสราเอลนำกษัตริย์ข้ามแม่น้ำมา คิมฮามข้ามไปกับเขาด้วย๔๑. ต่อมาคนอิสราเอลทั้งหมดก็มาหากษัตริย์ และพูดกับเขาว่า “ทำไมชาวยูดาห์พี่น้องของพวกเราถึงได้ขโมยท่านไป ทำไมพวกเขาถึงได้นำตัวท่านและครอบครัวของท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับคนของเขา”๔๒. ชาวยูดาห์ทั้งหมดตอบคนอิสราเอลว่า “พวกเราทำไปเพราะกษัตริย์เป็นญาติสนิทกับพวกเรา ทำไมพวกท่านต้องโกรธด้วย พวกเราไปกินของอะไรของกษัตริย์หรือ พวกเราเอาอะไรของเขามาเป็นของพวกเราหรือ”๔๓. ชาวอิสราเอลจึงตอบคนยูดาห์ไปว่า “พวกเรามีส่วนแบ่งในกษัตริย์สิบส่วน และนอกจากนั้น พวกเรามีสิทธิ์ในดาวิดมากกว่าพวกท่าน แล้วทำไมพวกท่านถึงได้ดูถูกพวกเราอย่างนี้ พวกเราไม่ใช่พวกแรกหรือที่ได้พูดถึงการนำกษัตริย์กลับมา” แต่คำพูดของคนยูดาห์รุนแรงกว่าคำพูดของคนอิสราเอล๒ ซามูเอล ๒๐:๑-๒๖๑. ตอนนั้น เผอิญมีอันธพาลอยู่คนหนึ่งชื่อเชบาลูกชายบิครีชาวเบนยามินอยู่ที่นั่น เขาเป่าแตรขึ้นและตะโกนว่า “พวกเราไม่มีส่วนแบ่งในดาวิด ไม่มีส่วนในลูกชายของเจสซี อิสราเอลเอ๋ย ขอให้ต่างคนต่างกลับไปยังเต็นท์ของตัวเองเถิด”๒. ดังนั้น คนอิสราเอล ทั้งหมดก็ทิ้งดาวิดไปติดตามเชบาลูกชายบิครี แต่คนยูดาห์ยังคงติดตามกษัตริย์ของพวกเขาไปตลอดทางจากแม่น้ำจอร์แดนถึงเมืองเยรูซาเล็ม๓. เมื่อดาวิดกลับถึงวังของเขาในเยรูซาเล็ม เขาได้นำตัวเมียน้อย สิบคนที่เขาเคยทิ้งไว้ให้ดูแลวังและให้พวกนางไปอยู่ในบ้าน หลังหนึ่งและให้คุมตัวไว้ เขายังดูแลพวกนาง แต่ไม่ได้นอนกับพวกนาง พวกนางถูกกักบริเวณและมีชีวิตอยู่อย่างแม่หม้ายจนตาย๔. แล้วกษัตริย์ก็พูดกับอามาสาว่า “รวบรวมคนยูดาห์มาหาเราภายในสามวัน และตัวท่านก็มาอยู่ด้วย”๕. แต่เมื่ออามาสาไปรวบรวมคนยูดาห์ เขาใช้เวลามากกว่าสามวันที่กษัตริย์ให้เวลาเขาไว้๖. ดาวิดพูดกับอาบีชัยว่า “ตอนนี้ เชบาลูกชายบิครีจะเป็นอันตรายกับเรามากกว่าอับซาโลม เอาคนของเราไปตามล่าเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะหลบหนีพวกเราไปอยู่ในเมืองที่เป็นป้อมปราการได้”๗. ดังนั้นคนของโยอาบและชาวเคเรธีกับชาวเปเลท และนักรบที่แกร่งกล้าทั้งหมดได้ออกไปภายใต้การนำของอาบีชัย พวกเขาเดินทัพจากเมืองเยรูซาเล็มเพื่อไปตามล่าเชบาลูกชายบิครี๘. ในขณะที่พวกเขาอยู่ที่ก้อนหินใหญ่ในเมืองกิเบโอน อามาสาออกมาพบพวกเขา โยอาบกำลังสวมชุดทหารและมีดาบอยู่ในฝัก เหน็บอยู่ที่เข็มขัดข้างเอว เมื่อเขาก้าวออกมา ดาบก็หลุดออกจากฝัก๙. โยอาบพูดกับอามาสาว่า “พี่ชาย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” แล้วโยอาบก็เอามือขวาจับเคราของอามาสามาเพื่อที่จะจูบเขา๑๐. อามาสาไม่ทันป้องกันตัวจากดาบในมือของโยอาบ โยอาบก็แทงดาบเข้าที่ท้องเขา ไส้ทะลักลงมากองที่พื้น โดยไม่ต้องแทงซ้ำอีก อามาสาก็ตาย แล้วโยอาบและอาบีชัยน้องชายของเขาก็ไล่ตามเชบาลูกชายบิครี๑๑. คนของโยอาบคนหนึ่งยืนอยู่ข้างอามาสาและพูดว่า “ใครที่อยู่ฝ่ายโยอาบและฝ่ายดาวิด ตามโยอาบไป”๑๒. อามาสานอนตายจมกองเลือดอยู่กลางถนน และมีชายคนหนึ่งเห็นว่ากองทัพทั้งหมดที่เดินผ่านมาก็จะมาหยุดดูศพของอามาสา เมื่อเขาเห็นอย่างนั้น เขาจึงลากศพของอามาสาออกจากถนนไปทิ้งที่ทุ่งนาและเอาเสื้อปิดเขาไว้๑๓. หลังจากที่ศพของอามาสาถูกย้ายออกจากถนนแล้ว คนทั้งหมดก็ไปกับโยอาบเพื่อตามล่าเชบาลูกชายบิครี๑๔. เชบาผ่านอิสราเอลทุกเผ่าไป จนในที่สุดได้มาถึงอาเบล-เบธ-มาอาคาห์และตระกูลของบิครี ได้มารวมตัวกันติดตามเขาไป๑๕. กองทัพทั้งหมดที่มากับโยอาบมาถึงที่อาเบล-เบธ-มาอาคาห์ และได้ล้อมเชบาไว้ที่นั่น พวกเขาได้สร้างเนินดินขึ้นติดกำแพงด้านนอก เพื่อปีนขึ้นบนกำแพง ขณะที่พวกเขากำลังทะลายกำแพงเพื่อให้มันพังลงมา๑๖. หญิงฉลาดผู้หนึ่งร้องเรียกพวกเขาจากในเมืองว่า “ฟังนะ ฟังนะ ช่วยเรียกโยอาบมาที่นี่หน่อย เรามีอะไรจะพูดกับเขา”๑๗. โยอาบจึงตรงไปหานางและนางก็ถามว่า “ท่านคือโยอาบหรือ” เขาตอบว่า “ใช่แล้ว เราเอง” นางพูดว่า “ฟังสิ่งที่ผู้รับใช้ท่านจะบอกกับท่านให้ดีนะ” เขาพูดว่า “เรากำลังฟังอยู่”๑๘. นางพูดต่อว่า “นานมาแล้ว เขาพูดกันว่า ‘ใครมีคำถามอะไร ก็ไปหาคำตอบได้ที่เมืองอาเบล’ และปัญหาก็จะถูกแก้ไขเรียบร้อย๑๙. ฉันเป็นคนหนึ่งในชาวอิสราเอลที่รักสงบและจงรักภักดีต่อชาติ พวกท่านกำลังพยายามจะทำลายเมืองที่เป็นเมืองแม่ของอิสราเอล ทำไมท่านจึงต้องกลืนกินสิ่งซึ่งเป็นของพระยาห์เวห์ด้วย”๒๐. โยอาบตอบว่า “เราไม่ได้คิดทำอย่างนั้น เราไม่ได้คิดที่จะกลืนหรือทำลายเมือง๒๑. มันไม่ใช่เรื่องนั้น มีชายคนหนึ่งชื่อเชบาลูกชายของบิครีมาจากเมืองในแถบเทือกเขาเอฟราอิม เขายกมือขึ้นต่อต้านกษัตริย์ คือต่อต้านดาวิด มอบตัวชายผู้นี้มา และเราจะถอนกำลังไปจากเมืองนี้” หญิงผู้นั้นพูดกับโยอาบว่า “หัวของเขาจะถูกโยนไปให้ท่านจากกำแพง”๒๒. แล้วหญิงคนนั้นก็ไปหาประชาชนทั้งหมดพร้อมกับคำแนะนำอันเฉลียวฉลาดของนาง และพวกเขาก็ตัดหัวเชบาลูกชายบิครีและโยนมันออกมาให้โยอาบ ดังนั้นโยอาบจึงเป่าแตรและคนของเขาก็ถอยออกจากเมืองนั้น แต่ละคนกลับบ้านของตนเอง และโยอาบก็กลับไปหากษัตริย์ในเยรูซาเล็ม๒๓. โยอาบควบคุมทั้งกองทัพของอิสราเอล เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาควบคุมชาวเคเรธีและชาวเปเลท๒๔. อาโดนีรัม ทำหน้าที่ควบคุมคนงาน เยโฮชาฟัทลูกชายอาหิลูดเป็นผู้จดบันทึก๒๕. เชวาเป็นเลขา ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นนักบวช๒๖. และอิราชาวยาอีร์เป็นนักบวชของดาวิดสดุดี ๖๗:๑-๗๑. ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ใช้เครื่องดนตรีประกอบการร้อง บทเพลงสดุดี ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาและอวยพรพวกเราด้วยเถิด โปรดให้ใบหน้าของพระองค์ส่องสว่างมาบนพวกเราด้วยเถิด เซลาห์๒. ขอให้ทางของพระองค์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ขอให้ทุกชนชาติรู้จักอำนาจที่จะช่วยให้รอดของพระองค์๓. ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ชนชาติทั้งหลายสรรเสริญพระองค์ ขอให้ทุกชนชาติสรรเสริญพระองค์ด้วยเถิด๔. ชนชาติทั้งหลายควรชื่นชมยินดีและมีความสุข เพราะพระองค์ตัดสินพวกเขาอย่างยุติธรรม พระองค์ปกครองชนชาติทั้งหลายบนโลกนี้ เซลาห์๕. ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ชนชาติทั้งหลายสรรเสริญพระองค์ ขอให้ทุกชนชาติสรรเสริญพระองค์ด้วยเถิด๖. แผ่นดินโลกนี้ให้ความอุดมสมบูรณ์ ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าของพวกเรา ขอโปรดอวยพรให้กับพวกเราต่อไป๗. ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดอวยพรพวกเรา และขอให้คนทั่วทุกมุมโลกยำเกรงพระองค์สุภาษิต ๑๖:๓๓-๓๓๓๓. คนจับสลากเพื่อหาคำตอบ แต่พระยาห์เวห์เป็นผู้กำหนดว่าสลากจะออกมายังไงสุภาษิต ๑๗:๑-๑๑. มีแค่เปลือกขนมปังแห้งเป็นอาหารในที่เงียบสงบ ยังดีกว่าอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยงานเลี้ยงพร้อมกับการทะเลาะวิวาทยอห์น ๘:๑-๒๗๑. ส่วนพระเยซูก็กลับไปที่ภูเขามะกอกเทศ๒. ตอนเช้าตรู่พระองค์กลับไปที่วิหารอีกครั้งหนึ่ง คนทั้งหลายก็มาหาพระองค์ พระเยซูนั่งลงและเริ่มสั่งสอนผู้คน๓. พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีได้นำผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งปวง หญิงคนนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขาขณะมีชู้อยู่๔. พวกเขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับได้ในขณะที่กำลังมีชู้อยู่๕. ในกฎปฏิบัตินั้น โมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนที่ทำอย่างนี้ให้ตาย แล้วอาจารย์จะว่ายังไง”๖. (ที่พวกเขาถามอย่างนี้เพื่อจะให้พระองค์หลงกลและจะได้หาเรื่องฟ้องร้องพระองค์) พระเยซูได้แต่ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนไปมาบนพื้นดิน๗. แต่พวกนั้นก็ยังคะยั้นคะยอให้พระองค์ตอบ พระองค์จึงยืนขึ้นพูดว่า “พวกคุณคนไหนที่ไม่มีความผิดเลย ก็ให้เอาหินขว้างหญิงคนนี้เป็นคนแรก”๘. แล้วพระองค์ก็ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนบนพื้นดินต่อ๙. เมื่อได้ยินพระเยซูพูดอย่างนั้น พวกนั้นก็หลบไปทีละคนสองคน คนที่มีอายุมากที่สุดเริ่มเดินจากไปก่อนจนเหลือแต่พระเยซูกับหญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น๑๐. พระเยซูลุกขึ้น และถามหญิงคนนั้นว่า “พวกเขาไปไหนกันหมดแล้ว ไม่มีใครลงโทษคุณหรือ”๑๑. หญิงคนนั้นตอบว่า “ไม่มีค่ะ” แล้วพระเยซูก็พูดว่า “เราก็ไม่ลงโทษคุณเหมือนกัน ไปเถอะแล้วอย่าทำบาปอีก”๑๒. แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกที่ชุมนุมอยู่อีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ติดตามเรามาจะไม่เดินอยู่ในความมืด แต่จะมีความสว่างที่นำไปสู่ชีวิต”๑๓. ดังนั้นพวกฟาริสีจึงพูดกับพระองค์ว่า “แกพูดเองเออเอง คำพยานของแกเชื่อถือไม่ได้หรอก”๑๔. พระเยซูตอบว่า “ถึงแม้ว่าเราจะเป็นพยานให้กับตัวเอง สิ่งที่เราพูดก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าตัวเราเองมาจากไหนและกำลังจะไปไหน แต่พวกคุณไม่รู้ว่าเรามาจากไหนหรือกำลังจะไปไหน๑๕. คุณตัดสินเราตามวิธีของมนุษย์ เราไม่ได้ตัดสินใครแบบนั้น๑๖. แต่ถ้าเราจะตัดสิน คำตัดสินของเราก็ถูกต้องเพราะเราไม่ได้ตัดสินคนเดียว แต่เราตัดสินร่วมกับพระบิดาผู้ส่งเรามา๑๗. ในกฎปฏิบัติของคุณบอกว่า ถ้ามีพยานสองคนพูดตรงกันก็ถือว่าเป็นความจริง๑๘. เราเป็นพยานให้กับตัวเอง และพระบิดาที่ส่งเรามาก็เป็นพยานให้กับเราอีกผู้หนึ่ง”๑๙. พวกเขาจึงถามว่า “แล้วไหนล่ะพ่อของแกที่แกพูดถึง” พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่รู้จักเราหรือพระบิดาของเราหรอก เพราะถ้าคุณรู้จักเรา คุณก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย”๒๐. ตอนที่พระเยซูพูดเรื่องนี้ พระองค์กำลังสอนอยู่ในห้องที่เขาใช้ตั้งตู้บริจาคในบริเวณวิหาร ไม่มีใครมาจับกุมพระองค์เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์๒๑. พระเยซูพูดกับพวกประชาชนอีกว่า “พวกคุณจะตามหาเรา แต่จะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ที่ซึ่งเรากำลังจะไปนั้นพวกคุณไปไม่ได้”๒๒. พวกผู้นำชาวยิวจึงถามกันว่า “มันกำลังจะฆ่าตัวตายหรือยังไงถึงพูดว่า ‘ที่ซึ่งเราจะไปนั้น พวกคุณไปไม่ได้’”๒๓. พระเยซูพูดว่า “พวกคุณมาจากโลกข้างล่าง แต่เรามาจากข้างบน พวกคุณเป็นของโลกนี้ แต่เราไม่ได้เป็นของโลกนี้๒๔. เราถึงได้บอกว่า พวกคุณจะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ใช่แล้ว ถ้าคุณไม่เชื่อว่าเราเป็นคนๆนั้นที่เราบอกว่าเราเป็น คุณก็จะตายอยู่ในความบาป”๒๕. พวกยิวถามพระองค์ว่า “แล้วแกเป็นใครล่ะ” พระเยซูตอบว่า “เราเป็นคนๆนั้นที่เราได้บอกพวกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าเราเป็น๒๖. ความจริงแล้วเรามีหลายเรื่องที่จะต่อว่าพวกคุณ แต่เราจะพูดเฉพาะเรื่องที่เราได้ยินมาจากพระองค์ผู้ที่ส่งเรามาเท่านั้น และพระองค์ก็พูดความจริง”๒๗. (พวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังพูดถึงพระบิดา) Thai Bible (ERV) 2001 Copyright © 2001 by Bible League International