พระคัมภีร์ในหนึ่งปี กุมภาพันธ์ ๒๓เลวีนิติ ๑๕:๑-๓๓๑. พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า๒. “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อผู้ใดมีสิ่งไหลออกจากร่างกาย สิ่งที่ไหลออกของเขานั้นเป็นมลทิน๓. ต่อไปนี้เป็นกฎว่าด้วยเรื่องการเป็นมลทินของเขา เนื่องจากสิ่งที่ไหลออก ร่างกายของเขาจะมีสิ่งไหลออก หรือสิ่งที่ไหลออกคั่งอยู่ในร่างกายของเขาก็ดี สิ่งนี้เป็นมลทินของเขา๔. เตียงนอนใดที่คนมีสิ่งไหลออกขึ้นไปนอน เตียงนั้นก็เป็นมลทิน ทุกสิ่งที่เขานั่งทับก็เป็นมลทิน๕. คนที่แตะต้องเตียงของเขาต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๖. คนที่ไปนั่งบนสิ่งที่ผู้มีสิ่งไหลออกได้นั่งก่อน ต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๗. คนที่ไปแตะต้องร่างกายของผู้ที่มีสิ่งไหลออก ต้องซักเสื้อผ้าของตน และอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๘. และถ้าผู้มีสิ่งไหลออกนั้นถ่มน้ำลายรดผู้สะอาด ผู้ที่ถูกน้ำลายรดต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๙. และอานที่ผู้มีสิ่งไหลออกนั่งทับ อานนั้นก็เป็นมลทิน๑๐. คนที่แตะต้องสิ่งที่รองรับเขานั้น จะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น และคนที่จับต้องสิ่งนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตัวและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๑๑. คนที่มีสิ่งไหลออกแตะต้องผู้ใดด้วยมือที่ไม่ได้ล้าง ผู้ถูกแตะต้องนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตัวและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๑๒. ภาชนะดินทุกใบซึ่งผู้มีสิ่งไหลออกแตะต้องให้ทุบเสีย และภาชนะไม้ทุกอย่างก็ให้ชำระเสียด้วยน้ำ๑๓. “เมื่อผู้มีสิ่งไหลออกได้ชำระสิ่งไหลออกของเขาแล้ว เขาต้องนับการชำระของเขาให้ครบเจ็ดวัน และเขาต้องซักเสื้อผ้า และอาบน้ำด้วยน้ำสะอาด เขาจึงจะสะอาด๑๔. ในวันที่แปดให้เขานำนกเขาสองตัว หรือนกพิราบสองตัวมาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ประตูเต็นท์นัดพบ และมอบของเหล่านั้นให้แก่ปุโรหิต๑๕. ให้ปุโรหิตถวายบูชา คือถวายนกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และนกอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว แล้วปุโรหิตจะลบมลทินของเขาต่อพระยาห์เวห์ เพราะเหตุสิ่งไหลออกของเขา๑๖. “ชายคนใดมีน้ำกามไหลออกให้เขาอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๑๗. เครื่องแต่งกายทุกชนิดและหนังทุกชนิดที่น้ำกามไหลรดต้องชำระในน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๑๘. ชายคนใดหลับนอนกับหญิงคนใด และมีน้ำกามไหลออก ทั้งสองจะต้องอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๑๙. “หญิงใดมีสิ่งไหลออกเป็นโลหิตประจำเดือน เธอจะต้องเป็นมลทินไปเจ็ดวัน และผู้ใดแตะต้องเธอ จะต้องเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น๒๐. ขณะเมื่อเธอมีมลทิน เธอไปนอนทับสิ่งใด สิ่งนั้นก็มีมลทิน สิ่งใดที่เธอไปนั่งทับ สิ่งนั้นก็เป็นมลทิน๒๑. คนที่ไปแตะต้องที่นอนของเธอ ต้องซักเสื้อผ้า และอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๒๒. และคนที่แตะต้องสิ่งที่เธอนั่ง ต้องซักเสื้อผ้า และอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๒๓. ไม่ว่าจะเป็นที่นอนหรือสิ่งใดที่เธอนั่งทับก็ดี ผู้ชายที่ไปแตะต้องสิ่งนั้น จะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๒๔. ถ้าชายใดไปหลับนอนกับเธอ และมลทินของเธอติดมาที่ชายนั้น ชายนั้นจะเป็นมลทินไปเจ็ดวัน เขาไปนอนที่เตียงใด เตียงนั้นก็เป็นมลทิน๒๕. “ถ้าหญิงใดมีโลหิตไหลออกหลายวัน ทั้งที่ไม่ใช่เวลามลทินประจำของเธอ หรือถ้าเธอมีโลหิตไหลออกเลยกำหนดการเป็นมลทินประจำของเธอ ทุกวันที่มีโลหิตไหลออก เธอต้องเป็นมลทินอย่างเดียวกับเวลาที่เป็นมลทินประจำของเธอ๒๖. ที่นอนที่เธอนอนระหว่างเธอมีสิ่งไหลออก ที่นอนนั้นเป็นดังที่นอนมลทินประจำของเธอ ทุกสิ่งที่เธอนั่งทับต้องเป็นมลทินอย่างเดียวกับมลทินประจำของเธอ๒๗. คนที่แตะต้องสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นมลทินด้วย เขาต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น๒๘. ถ้าเธอชำระสิ่งไหลออกของเธอแล้ว ให้เธอนับเองให้ครบเจ็ดวัน ต่อจากนั้นเธอจึงจะสะอาด๒๙. และในวันที่แปดให้เธอนำนกเขาสองตัว หรือลูกนกพิราบสองตัวไปให้ปุโรหิตที่ประตูเต็นท์นัดพบ๓๐. และปุโรหิตจะถวายนกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และปุโรหิตจะลบมลทินให้เธอเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะเหตุสิ่งไหลออกที่เป็นมลทินของเธอ๓๑. “โดยวิธีนี้แหละ พวกเจ้าก็แยกคนอิสราเอลจากมลทินของเขาทั้งหลาย เพื่อพวกเขาจะไม่ต้องตายด้วยมลทินของเขาเอง เมื่อเขาทำให้พลับพลาของเราที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาเป็นมลทินไป”๓๒. นี่เป็นกฎว่าด้วยผู้มีสิ่งไหลออกและชายที่มีน้ำกามไหลออก ซึ่งทำให้ตัวเป็นมลทิน๓๓. และเกี่ยวกับหญิงที่เป็นมลทินประจำของเธอ คือทั้งเกี่ยวกับผู้มีสิ่งไหลออกไม่ว่าชายหรือหญิง และเกี่ยวกับชายที่หลับนอนกับหญิงที่มีมลทินเลวีนิติ ๑๖:๑-๓๔๑. พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส หลังจากบุตรทั้งสองของอาโรนสิ้นชีวิตเมื่อเขาเข้ามาใกล้พระยาห์เวห์ และถึงแก่ความตาย๒. พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนพี่ชายว่า อย่าเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ตามใจชอบ คือเข้าไปในม่านหน้าพระที่นั่งกรุณาซึ่งอยู่บนหลังหีบ เพื่อเขาจะไม่ตาย เพราะว่าเราจะปรากฏในเมฆเหนือพระที่นั่งกรุณา๓. แต่อาโรนจะเข้ามาในอภิสุทธิสถานได้โดยวิธีนี้ คือ ให้เอาโคหนุ่มตัวหนึ่งไปเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และแกะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว๔. ให้เขาสวมเสื้อป่านบริสุทธิ์และสวมกางเกงผ้าป่าน คาดผ้าคาดเอวด้วยผ้าป่านและโพกศีรษะด้วยผ้าป่าน นี่เป็นเสื้อตำแหน่งบริสุทธิ์ ให้เขาอาบน้ำแล้วจึงสวม๕. และให้เขานำแพะผู้สองตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปกับแกะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวจากชุมนุมชนอิสราเอล๖. “อาโรนจะถวายโคเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของตนเอง ทำการลบมลทินตนเองกับครอบครัวของเขา๗. แล้วเขาจะนำแพะสองตัวนั้นไปถวายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ประตูเต็นท์นัดพบ๘. อาโรนจะจับฉลากแพะสองตัวนั้น ฉลากหนึ่งตกเป็นของพระยาห์เวห์ อีกฉลากหนึ่งเพื่ออาซาเซล๙. แพะตัวที่ฉลากตกเป็นของพระยาห์เวห์นั้น อาโรนจะถวายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป๑๐. แต่แพะอีกตัวหนึ่งซึ่งฉลากตกเพื่ออาซาเซลนั้น จะนำถวายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เป็นสัตว์ที่ยังมีชีวิต เพื่อให้มลทินตกที่มัน แล้วปล่อยมันเข้าไปในถิ่นทุรกันดารให้แก่อาซาเซล๑๑. “ให้อาโรนถวายโคเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของเขา และลบมลทินตนเองกับครอบครัวของเขา ให้เขาฆ่าโคเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของเขาเอง๑๒. และให้เขาเอากระถางไฟที่มีถ่านลุกอยู่มาจากแท่นบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และนำเครื่องหอมทุบละเอียดสองกำมือเข้าไปภายในม่าน๑๓. แล้วเอาเครื่องหอมนั้นใส่บนไฟเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ให้ควันเครื่องหอมขึ้นคลุมพระที่นั่งกรุณาซึ่งอยู่เหนือหีบแห่งสักขีพยาน เพื่อเขาจะไม่ตาย๑๔. ให้เขาเอาเลือดโคเล็กน้อยประพรมหน้าพระที่นั่งกรุณา โดยประพรมเลือดที่พระที่นั่งกรุณาเจ็ดครั้งด้วยนิ้วมือของเขา๑๕. “แล้วให้อาโรนฆ่าแพะที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับประชาชน นำเลือดแพะเข้าไปภายในม่าน เอาเลือดแพะไปทำเช่นเดียวกับที่ทำกับเลือดโค คือประพรมบนพระที่นั่งกรุณาและที่ข้างหน้าพระที่นั่งกรุณา๑๖. โดยวิธีนี้แหละ เขาจะลบมลทินของอภิสุทธิสถาน เพราะเหตุมลทินของคนอิสราเอล เพราะเหตุการล่วงละเมิด เพราะบาปทั้งสิ้นของพวกเขา และอาโรนจะทำต่อเต็นท์นัดพบซึ่งอยู่กับเขาท่ามกลางมลทินของพวกเขา๑๗. ห้ามให้มีคนอยู่ในเต็นท์นัดพบเมื่ออาโรนเข้าไปลบมลทินในอภิสุทธิสถาน จนกว่าเขาจะออกมาและลบมลทินสำหรับตัวเขา สำหรับครอบครัวของเขา และสำหรับชุมนุมชนอิสราเอล๑๘. อาโรนจะออกไปยังแท่นบูชาซึ่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ทำการลบมลทินแท่นนั้น เขาจะเอาเลือดโคบางส่วน เลือดแพะบางส่วน เจิมเชิงงอนของแท่นบูชาทุกด้าน๑๙. เอานิ้วจุ่มเลือดประพรมแท่นนั้นเจ็ดครั้ง ชำระแท่นบูชาให้บริสุทธิ์พ้นมลทินของคนอิสราเอล๒๐. “เมื่ออาโรนทำการลบมลทินของอภิสุทธิสถาน เต็นท์นัดพบ และแท่นบูชาเสร็จแล้ว เขาจะถวายแพะตัวที่มีชีวิตอยู่๒๑. อาโรนจะเอามือทั้งสองวางบนหัวแพะที่มีชีวิตนั้น สารภาพบาปต่างๆ ของคนอิสราเอล การล่วงละเมิดของพวกเขาทั้งหมด และให้บาปทั้งสิ้นของพวกเขาตกลงบนหัวแพะนั้น จากนั้นจงปล่อยมันเข้าไปในถิ่นทุรกันดารโดยมือของคนที่เลือกไว้๒๒. แพะนั้นจะบรรทุกความผิดทั้งหมดไปยังที่เปลี่ยว แล้วเขาก็ปล่อยให้มันเข้าถิ่นทุรกันดารไป๒๓. “ให้อาโรนเข้ามาในเต็นท์นัดพบ เปลื้องเสื้อตำแหน่งผ้าป่านชุดที่เขาสวมเมื่อเข้าไปในอภิสุทธิสถานออกเก็บเสียที่นั่น๒๔. ให้เขาชำระตัวในน้ำในที่บริสุทธิ์ สวมเสื้อตำแหน่งของตน เดินออกมาถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของตน เครื่องบูชาเผาทั้งตัวของประชาชน เพื่อลบมลทินของตนเองและของประชาชน๒๕. ให้เขาเอาไขมันของเครื่องบูชาลบล้างบาปไปเผาบนแท่นบูชา๒๖. ให้ผู้ที่ปล่อยแพะไปให้อาซาเซลนั้นซักเสื้อผ้าของตน และอาบน้ำ หลังจากนั้นจึงจะเข้าในค่ายได้๒๗. โคซึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และแพะซึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปที่อาโรนเอาเลือดไปลบมลทินอภิสุทธิสถานนั้น จะต้องถูกนำออกไปเสียข้างนอกค่าย หนัง เนื้อ และมูลจะต้องถูกเผาเสียด้วยไฟ๒๘. ผู้ที่เผาก็ต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ หลังจากนั้นเขาจึงจะกลับเข้าค่ายได้๒๙. “ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรแก่เจ้าทั้งหลายว่าในวันที่สิบเดือนที่เจ็ด พวกเจ้าต้องปฏิเสธความปรารถนาของตนเอง และต้องไม่ทำการงานใดๆ ทั้งตัวชาวเมืองเองหรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า๓๐. เพราะว่าในวันนี้จะเป็นวันลบมลทินของพวกเจ้า และชำระพวกเจ้าให้พ้นจากความบาปทั้งสิ้นของพวกเจ้า พวกเจ้าจึงสะอาดเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์๓๑. เป็นวันสะบาโตให้เจ้าทั้งหลายหยุดพักสงบ พวกเจ้าต้องปฏิเสธความปรารถนาของพวกเจ้า ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวร๓๒. ให้ปุโรหิตผู้ถูกเจิม และรับการสถาปนาเป็นปุโรหิตแทนบิดาของตนทำการลบมลทิน ให้เขาสวมเสื้อผ้าป่านคือเสื้อตำแหน่งบริสุทธิ์๓๓. ให้เขาลบมลทินแก่อภิสุทธิสถาน ให้เขาลบมลทินให้แก่เต็นท์นัดพบ และให้แก่แท่นบูชา ให้เขาลบมลทินให้แก่ปุโรหิตทั้งหลายและประชาชนทั้งหมดของชุมนุมชนนั้น๓๔. ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรแก่เจ้าทั้งหลาย ให้ทำการลบมลทินเพื่อคนอิสราเอลปีละครั้ง เพราะบาปทั้งสิ้นของเขา” โมเสสก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านไว้สดุดี ๒๖:๖-๑๒๖. ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ชำระมือเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ และเดินรอบแท่นบูชาของพระองค์๗. พลางร้องเพลงขอบพระคุณ และบอกเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์๘. ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์รักพระนิเวศอันเป็นที่พำนักของพระองค์ และเป็นที่ประทับแห่งพระสิริของพระองค์๙. ขออย่าทรงกวาดข้าพระองค์ไปกับคนบาป หรือกวาดชีวิตข้าพระองค์ไปกับคนกระหายเลือด๑๐. คือคนซึ่งในมือของเขามีแผนชั่ว และมือขวาของเขาเต็มด้วยสินบน๑๑. แต่สำหรับข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเดินในความสุจริต ขอทรงไถ่ข้าพระองค์ และขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์๑๒. เท้าของข้าพระองค์เหยียบอยู่บนพื้นราบ ข้าพระองค์จะถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ในที่ชุมนุมชนสุภาษิต ๑๐:๘-๘๘. คนมีปัญญาจะยอมรับบัญญัติ แต่คนที่พูดโง่ๆ จะถึงความพินาศมาระโก ๔:๑-๒๐๑. แล้วพระองค์ทรงสั่งสอนที่ฝั่งทะเลอีก ฝูงชนจำนวนมากพากันมาเฝ้าพระองค์ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือที่ทะเล และประชาชนอยู่บนฝั่ง๒. พระองค์จึงตรัสสั่งสอนพวกเขาหลายประการเป็นอุปมา และในการสอนนั้นพระองค์ตรัสว่า๓. “จงฟังเถิด มีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช๔. และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย๕. บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก๖. แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป๗. บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล๘. บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วงอกงามจำเริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง”๙. แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด”๑๐. เมื่อฝูงคนไปแล้ว คนที่อยู่รอบพระองค์พร้อมกับสาวกสิบสองคน ได้ทูลถามพระองค์ถึงอุปมานั้น๑๑. พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้าโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ข้อความทุกอย่างจะแจ้งเป็นอุปมาแก่บุคคลภายนอก๑๒. เพื่อว่า แม้พวกเขาดูแล้วดูเล่า แต่จะมองไม่เห็น แม้ฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้าและได้รับการอภัย”๑๓. พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอุปมาเรื่องนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจะเข้าใจเรื่องอุปมาทั้งหมดได้อย่างไร?๑๔. ผู้ที่หว่านนั้นก็หว่านพระวจนะ๑๕. ส่วนที่ตกริมหนทางนั้นได้แก่พระวจนะที่หว่านลงไป แล้วทันทีที่พวกเขาได้ยิน ซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะที่หว่านในตัวเขาไปเสีย๑๖. ส่วนที่ตกลงไปในพื้นหินนั้น ได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี๑๗. แต่ไม่ได้หยั่งรากลงในตัวจึงทนอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงเพราะพระวจนะนั้น พวกเขาก็เลิกเสียทันที๑๘. ส่วนพืชที่หว่านลงกลางหนามนั้นได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ๑๙. แล้วความกังวลของโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งต่างๆ ประดังเข้ามา และรัดพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล๒๐. ส่วนพืชที่หว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” Thai Bible (THS) 2011 เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ฉบับมาตรฐาน