พระคัมภีร์ในหนึ่งปี เมษายน ๑๙ผู้วินิจฉัย ๓:๑-๓๑๑. ต่อไปนี้เป็นบรรดาประชาชาติที่พระยาห์เวห์ทรงเหลือไว้ เพื่อใช้ทดสอบคนอิสราเอลทุกคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการรบในคานาอัน๒. เพื่อให้คนอิสราเอลรุ่นต่อมาที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการรบมาก่อน ได้รู้และเข้าใจเรื่องการรบ๓. ประชาชาติเหล่านั้นได้แก่ เจ้านายทั้งห้าของพวกฟีลิสเตีย คนคานาอันทั้งหมด คนไซดอนและคนฮีไวต์ผู้อาศัยอยู่บนภูเขาเลบานอน ตั้งแต่ภูเขาบาอัลเฮอร์โมน จนถึงเลโบฮามัท๔. คนเหล่านี้มีอยู่เพื่อทดสอบคนอิสราเอล เพื่อจะทราบว่าคนอิสราเอลเชื่อฟังพระบัญญัติของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้กับบรรพบุรุษของเขาโดยโมเสสนั้นหรือไม่๕. ดังนั้นคนอิสราเอลจึงอาศัยอยู่ท่ามกลางคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์และคนเยบุส๖. พวกเขาไปรับบุตรหญิงของคนเหล่านั้นมาเป็นภรรยา และยกบุตรหญิงของตนให้แก่บุตรชายของคนเหล่านั้นและได้ปรนนิบัติพระของเขาเหล่านั้น๗. คนอิสราเอลทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ ลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของตนเสีย ไปปรนนิบัติพระบาอัลทั้งหลายและบรรดาพระอาเช-ราห์๘. เพราะฉะนั้นพระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงขายพวกเขาไว้ในมือของคูชันริชาธาอิมกษัตริย์แห่งเมโสโปเตเมีย และคนอิสราเอลได้รับใช้คูชันริชาธาอิม ๘ ปี๙. แต่เมื่อคนอิสราเอลร้องทูลพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงให้ผู้ช่วยกู้เกิดแก่คนอิสราเอล ผู้ได้ช่วยกู้เขาทั้งหลาย คือโอทนีเอลบุตรเคนัส น้องชายของคาเลบ๑๐. พระวิญญาณของพระยาห์เวห์สถิตกับโอทนีเอล ท่านจึงวินิจฉัยคนอิสราเอลและออกไปรบ และพระยาห์เวห์ทรงมอบคูชันริชาธาอิมกษัตริย์แห่งเมโสโปเตเมียไว้ในมือของท่าน และมือของท่านชนะคูชันริชาธาอิม๑๑. ดังนั้นแผ่นดินจึงสงบสุขอยู่ ๔๐ ปี แล้วโอทนีเอลบุตรเคนัสก็สิ้นชีวิต๑๒. และคนอิสราเอลทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์อีก พระยาห์เวห์จึงทรงเสริมกำลังเอกโลน กษัตริย์แห่งโมอับเพื่อให้ต่อสู้อิสราเอล เพราะว่าเขาทั้งหลายได้ทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์๑๓. เอกโลนจึงได้ให้คนอัมโมนและคนอามาเลขมาสมทบ ยกไปโจมตีอิสราเอลและได้ยึดเมืองต้นอินทผลัมไว้๑๔. ดังนั้นคนอิสราเอลจึงรับใช้เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับอยู่ถึง ๑๘ ปี๑๕. แต่เมื่อคนอิสราเอลร้องทูลพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงให้ผู้ช่วยกู้คนหนึ่งเกิดแก่เขาทั้งหลาย ชื่อเอฮูด บุตรเก-ราเผ่าเบนยามิน คนถนัดมือซ้าย คนอิสราเอลให้ท่านเป็นผู้นำเครื่องบรรณาการไปถวายเอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับ๑๖. เอฮูดได้ทำดาบสองคมไว้ประจำตัวเล่มหนึ่ง ยาวราวครึ่งเมตร เหน็บไว้ใต้ผ้าที่ต้นขาขวา๑๗. ท่านก็นำเครื่องบรรณาการไปถวายเอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับ เอกโลนเป็นคนอ้วนมาก๑๘. และเมื่อเอฮูดถวายเครื่องบรรณาการแล้ว ท่านจึงไปส่งคนที่หาบเครื่องบรรณาการนั้น๑๙. แล้วตัวท่านก็กลับจากรูปเคารพสลักที่อยู่ใกล้กิลกาลมาทูลเอกโลนว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระบาทมีข้อราชการลับที่จะทูลให้ทรงทราบ” กษัตริย์จึงทรงบัญชาว่า “เงียบๆ” บรรดามหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ก็ทูลลาออกไปหมด๒๐. และเอฮูดก็เข้าไปเฝ้าพระองค์ ขณะนั้นพระองค์ประทับอยู่ลำพังในห้องเย็นชั้นบนของพระองค์ และเอฮูดทูลว่า “ข้าพระบาทมีพระวจนะจากพระเจ้ามายังฝ่าพระบาท” พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง๒๑. เอฮูดก็ยื่นมือซ้ายชักดาบนั้นออกจากต้นขาขวาแทงเข้าไปในท้องของเอกโลน๒๒. ดาบจมเข้าไปหมดทั้งด้าม ไขมันหุ้มดาบไว้ ท่านก็ไม่ชักดาบออกจากท้องของพระองค์ ของโสโครกไหลออกมา๒๓. แล้วเอฮูดออกไปที่เฉลียงปิดประตูห้องชั้นบน ลั่นกุญแจเสีย๒๔. เมื่อเอฮูดไปแล้วมหาดเล็กก็เข้ามาดู เมื่อพวกเขาเห็นว่าประตูห้องชั้นบนปิดใส่กุญแจอยู่ เขาทั้งหลายคิดว่า “พระองค์ท่านกำลังทรงพระบังคนหนัก อยู่ที่ในห้องเย็น”๒๕. เมื่อคอยอยู่ช้านานจนรำคาญ ไม่เห็นมีใครเปิดประตูห้องชั้นบน พวกเขาจึงเอากุญแจมาไขเปิดออกดู เห็นเจ้านายของตนนอนสิ้นชีวิตอยู่บนพื้น๒๖. เมื่อเขาทั้งหลายต่างคอยกันอยู่นั้น เอฮูดก็หนีไปพ้นรูปเคารพหินสลัก รอดมาได้ถึงเสอีราห์๒๗. เมื่อท่านมาถึงแล้วจึงเป่าเขาสัตว์ขึ้นในแดนเทือกเขาเอฟราอิม แล้วคนอิสราเอลก็ยกลงไปกับท่านจากแดนเทือกเขา และท่านนำหน้าพวกเขา๒๘. ท่านจึงสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงมอบศัตรูของพวกท่าน คือโมอับ ไว้ในมือของท่านแล้ว” เขาทั้งหลายจึงลงตามท่านไปและยึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน สกัดคนโมอับไว้ไม่ยอมให้ใครข้ามไปได้สักคนเดียว๒๙. ในคราวนั้นเขาประหารคนโมอับเสียประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน ล้วนแต่เป็นชายฉกรรจ์ล่ำสันทั้งสิ้น ไม่มีใครหนีรอดไปได้สักคนเดียว๓๐. โมอับจึงพ่ายแพ้ตกอยู่ใต้อำนาจของอิสราเอลในวันนั้น และแผ่นดินอิสราเอลก็สงบสุขอยู่ ๘๐ ปี๓๑. ภายหลังเอฮูด มีชัมการ์บุตรอานาทผู้ใช้ประตักฆ่าคนฟีลิสเตียเสีย ๖๐๐ คน ท่านก็เป็นผู้ช่วยกู้อิสราเอลด้วยผู้วินิจฉัย ๔:๑-๒๔๑. หลังจากเอฮูดสิ้นชีวิตแล้ว คนอิสราเอลก็ทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์อีก๒. พระยาห์เวห์จึงทรงขายพวกเขาไว้ในมือของยาบินกษัตริย์คานาอัน ผู้ทรงครองราชย์อยู่ ณ กรุงฮาโซร์ แม่ทัพของท่านชื่อสิเสรา เป็นชาวเมืองฮาโรเชทฮาโกยิม๓. แล้วคนอิสราเอลก็ร้องทุกข์ต่อพระยาห์เวห์ เพราะว่ากษัตริย์ยาบินมีรถรบเหล็ก ๙๐๐ คัน และได้ข่มเหงคนอิสราเอลอย่างหนักถึง ๒๐ ปี๔. ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยคนอิสราเอลในเวลานั้น ชื่อเดโบราห์ ภรรยาของลัปปิโดท๕. นางเคยนั่งอยู่ใต้ต้นอินทผลัมแห่งเดโบราห์ที่อยู่ระหว่างรามาห์และเบธเอลในแดนเทือกเขาเอฟราอิม และคนอิสราเอลก็ขึ้นมาหานางที่นั่น เพื่อให้ตัดสินคดี๖. นางใช้คนไปเรียกบาราคบุตรอาบีโนอัม ให้มาจากเคเดชในนัฟทาลีและกล่าวแก่เขาว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลทรงบัญชาท่านว่า ‘จงไปรวบรวมพล ๑๐,๐๐๐ คน จากเผ่านัฟทาลีและเผ่าเศบูลุนไว้ที่ภูเขาทาโบร์๗. และเราจะชักนำสิเสราแม่ทัพของยาบินให้มาพบกับเจ้าที่แม่น้ำคีโชน พร้อมกับรถรบและกองทหารของเขา และเราจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้า’ ”๘. บาราคจึงตอบนางว่า “ถ้าท่านไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไป ถ้าท่านไม่ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ไป”๙. นางจึงตอบว่า “ฉันจะไปกับท่านแน่ แต่ว่าทางที่ท่านไปจะทำให้ท่านไม่ได้รับเกียรติ เพราะว่าพระยาห์เวห์จะขายสิเสราไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง” แล้วนางเดโบราห์ก็ลุกขึ้นไปกับบาราคถึงเมืองเคเดช๑๐. บาราคจึงเรียกเศบูลุนกับนัฟทาลีให้ไปที่เคเดช มีคน ๑๐,๐๐๐ คนเดินตามขึ้นไปและนางเดโบราห์ก็ไปด้วย๑๑. เฮเบอร์คนเคไนต์ได้แยกตัวออกจากคนเคไนต์ทั้งหลาย คือจากพงศ์พันธุ์ของโฮบับพ่อตาของโมเสส มาตั้งเต็นท์อยู่ไกลออกไปถึงต้นโอ๊ก ในศานันนิม ซึ่งอยู่ใกล้เมืองเคเดช๑๒. เมื่อมีคนไปแจ้งแก่สิเสราว่า บาราคบุตรอาบีโนอัมขึ้นไปที่ภูเขาทาโบร์แล้ว๑๓. สิเสราก็เรียกรถรบทั้งหมดของท่านออกมา เป็นรถรบเหล็ก ๙๐๐ คัน รวมกับกองทหารทั้งหมดที่ไปด้วย ยกไปจากเมืองฮาโรเชทฮาโกยิมไปถึงแม่น้ำคีโชน๑๔. นางเดโบราห์จึงกล่าวแก่บาราคว่า “ลุกขึ้นเถิด เพราะว่านี่เป็นวันที่พระยาห์เวห์ทรงมอบสิเสราไว้ในมือของท่าน พระยาห์เวห์เสด็จนำหน้าท่านไปมิใช่หรือ?” บาราคจึงลงไปจากภูเขาทาโบร์พร้อมกับทหาร ๑๐,๐๐๐ คนติดตามท่านไป๑๕. พระยาห์เวห์ทรงทำให้สิเสราและรถรบทั้งสิ้น อีกทั้งกองทัพทั้งหมดของท่านแตกพ่ายด้วยคมดาบต่อหน้าบาราค แล้วสิเสราก็ลงจากรถรบวิ่งหนีไป๑๖. และบาราคได้ไล่ติดตามรถรบทั้งหลายและกองทัพไปจนถึงฮาโรเชทฮาโกยิม และกองทัพของสิเสราก็ล้มตายสิ้นด้วยคมดาบ ไม่เหลือสักคนเดียว๑๗. สิเสราวิ่งหนีไปถึงเต็นท์ของยาเอลภรรยาของเฮเบอร์คนเคไนต์ เพราะว่ายาบินกษัตริย์เมืองฮาโซร์เป็นไมตรีกันกับพงศ์พันธุ์เฮเบอร์คนเคไนต์๑๘. ยาเอลจึงออกไปต้อนรับสิเสราเรียนว่า “เจ้านายของดิฉัน เชิญแวะเข้ามา เชิญแวะเข้ามาหาดิฉัน อย่ากลัวเลย” สิเสราจึงแวะหานางในเต็นท์ และนางก็คลุมตัวท่านด้วยผ้าห่ม๑๙. ท่านจึงพูดกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มสักหน่อยเพราะเรากระหาย” นางก็เปิดถุงหนังเอานมให้ท่านดื่ม และเอาผ้าคลุมท่านไว้๒๐. สิเสราบอกนางว่า “ขอยืนเฝ้าที่ประตูเต็นท์ ถ้ามีใครมาถามว่า ‘มีใครมาพักที่นี่บ้าง?’ จงบอกว่า ‘ไม่มี’ ”๒๑. แต่ยาเอลภรรยาของเฮเบอร์หยิบหลักขึงเต็นท์ ถือค้อนเดินย่องเข้ามา ตอกหลักเข้าที่ขมับของสิเสราทะลุติดดิน ขณะเมื่อสิเสรากำลังหลับสนิทอยู่เพราะความเหน็ดเหนื่อย แล้วสิเสราก็สิ้นชีวิต๒๒. และดูสิ ขณะที่บาราคไล่ติดตามสิเสรา ยาเอลก็ออกไปต้อนรับและเรียนท่านว่า “เชิญเข้ามาเถิด ดิฉันจะชี้ให้ท่านเห็นคนที่ท่านค้นหาอยู่นั้น” บาราคก็เข้าไปเห็นสิเสรานอนสิ้นชีวิตอยู่ มีหลักเต็นท์ในขมับ๒๓. ในวันนั้น พระเจ้าทรงทำให้ยาบินกษัตริย์คานาอันนอบน้อมต่อคนอิสราเอล๒๔. และมือของคนอิสราเอลก็ทำต่อยาบินหนักขึ้นทุกที จนเขาทั้งหลายได้กำจัด ยาบินกษัตริย์คานาอันเสียสดุดี ๔๘:๙-๑๔๙. ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายไตร่ตรองถึงความรักมั่นคงของพระองค์ เมื่ออยู่กลางพระวิหารของพระองค์๑๐. ข้าแต่พระเจ้า พระนามของพระองค์ไปถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลกฉันใด คำสรรเสริญพระองค์ก็ไปถึงฉันนั้น พระหัตถ์ขวาของพระองค์เต็มไปด้วยความชอบธรรม๑๑. ขอภูเขาศิโยนจงยินดี ขอธิดาแห่งยูดาห์จงเปรมปรีดิ์ เนื่องจากการพิพากษาของพระองค์๑๒. จงเดินรอบศิโยน ไปให้รอบเถิด จงนับหอคอยของศิโยน๑๓. จงพิจารณาเชิงเทินของศิโยนให้ดี จงตรวจตราป้อมของศิโยน เพื่อท่านจะได้บอกคนรุ่นหลังว่า๑๔. นี่คือพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าของเราเป็นนิตย์นิรันดร์ พระองค์จะทรงนำเราจนถึงที่สุดสุภาษิต ๑๔:๑๘-๑๙๑๘. คนรู้น้อยได้ความโง่เป็นมรดก แต่คนสุขุมจะมีความรู้เป็นมงกุฎ๑๙. คนชั่วกราบคนดี คนอธรรมกราบอยู่ที่ประตูบ้านของคนชอบธรรมลูกา ๑๔:๒๕-๓๕๒๕. มีมหาชนไปกับพระเยซู พระองค์จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับพวกเขาว่า๒๖. “ถ้าใครมาหาเราและไม่ชัง บิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้๒๗. และใครก็ตามที่ไม่ได้แบกกางเขนของตนตามเรามา คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้๒๘. ในพวกท่านมีใครบ้างเมื่อปรารถนาจะสร้างตึก จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า จะมีพอที่จะสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่?๒๙. เกรงว่าเมื่อวางรากฐานแล้ว และทำให้สำเร็จไม่ได้ ทุกคนที่เห็นก็จะเยาะเย้ยเขา๓๐. ว่า ‘คนนี้เริ่มต้นก่อ แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้’๓๑. หรือมีกษัตริย์องค์ไหน เมื่อจะยกกองทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่งนั้น จะไม่นั่งลงคิดดูเสียก่อนหรือว่า ที่มีพลทหารหนึ่งหมื่นจะสู้กับกองทัพที่ยกมารบสองหมื่นได้หรือไม่?๓๒. ถ้าสู้ไม่ได้ก็จะใช้พวกทูตไปเจรจาผูกไมตรีกันในระหว่างที่อีกฝ่ายยังอยู่ไกล๓๓. เช่นนั้นแหละ ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้๓๔. “เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร?๓๕. จะใช้เป็นปุ๋ยใส่ดินก็ไม่ได้ จะหมักไว้กับกองมูลสัตว์ก็ไม่ได้ มีแต่จะถูกเอาไปโยนทิ้งเท่านั้น ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด” Thai Bible (THS) 2011 เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ฉบับมาตรฐาน